บทที่ 4 ความคิด ความเชื่อมั่น | ||
|
||||||||||||||||||||||||||
จุดกำเนิดของทุกๆพฤติกรรม คือ ความคิด การเปลี่ยนแปลงความคิด ย่อมเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ หากอยากให้ผลให้ชีวิตไปสู่ความสำเร็จ เราก็ต้องเรียนรู้วิธีคิดเพื่อความสำเร็จเช่นเดียวกัน ความคิดและความเชื่อ ของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต 1.เต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อ เพราะเราจะประสบความสำเร็จได้มาก และยิ่งใหญ่ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความเชื่อแค่ไหน? เชื่อว่าตัวเราทำได้ แล้วเราจะพยายามหาทุกๆความเชื่อนั้น ให้เกิดเป็นพลังแห่งแรงบันดาลใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะพลิกชีวิตของเราในวันนี้ 2.คนสำเร็จจะมีเป้าหมายที่เด่นชัด เพราะเขารู้ว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้เกิดความสำเร็จคือ การเดินไปตามทิศทางที่ได้วางแผนไว้ มันคือทิศทางที่จะคว้ารางวัลของชีวิตมาไว้ในกำมือของเรา เป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้เรารู้ว่าเราจะทำอะไร?เพื่อให้ชีวิตเราเดินเข้าไปใกล้เป้าหมายทุกๆย่างก้าว และที่สำคัญที่สุด คนสำเร็จจะกำหนดเวลาที่จะไปถึงจุดหมายไว้อย่างแน่นอน ที่เราเรียกว่ากำหนดเส้นตายให้กับทุกๆเป้าหมาย และเราก็จะได้เป้าหมายนั้นมาไว้ในมือ คนสำเร็จจะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายของตัวเองเด็ดขาด แต่คนสำเร็จจะประเมินผลการทำงาน และปรับเปลี่ยนแผนงาน เพื่อไปให้ถึง เป้าหมายที่วางไว้ 3.ความพากเพียร เป็นคุณสมบัติของคนที่สำเร็จ ความคิดของคนสำเร็จต่อการทำงานสร้างชีวิต คือมุ่งมั่น ขยัน อดทน ต่อสู้ ไม่กลัวงานหนัก ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยกลัวความล้มเหลว เขาคิดอยู่เสมอว่า ทุกๆความล้มเหลว คือบทเรียนที่จะทำให้ก้าวเข้าไปใกล้จุดหมายที่วางไว้ทุกที เพราะเขารู้ว่า สิ่งที่เขาลงมือตั้งใจทำในวันนี้ คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาในอนาคตอันใกล้ “เพราะชีวิตของเรา เราลิขิตเอง” |
||||||||||||||||||||||||||
วิถีในการคิดอย่างคนรวย
คุณ เคยสงสัยมั้ยว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล
เรียก ว่า ทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี
ถ้าอย่างนั้น Fundamentals ฉบับนี้ จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง
ที.ฮา ร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน “เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง” เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้อ งกับเงิน
ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร
O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัว เอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่ อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อ ยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต
จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้าน เราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น”เจริญ สิริวัฒนภักดี” หรือ “เฉลียว อยู่วิทยา” ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั ้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ ่มต้นจากศูนย์และสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย
กรณี ของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง
O มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก
กว่าจะ มาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น
คน จนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไ ม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงท ุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขั นมาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก ธรรมชาติ ของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆที่อาจจะขายแ ฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่า เขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของ ผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพั นกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค คน จนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัว หยุดพวกเขาไม่ได้
O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ ลอง สังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเ ร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามัก ไม่ค่อยพอใจ เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่ กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน
O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก โดย มากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทาง ธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำ เร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการ ค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง
O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา อาจ จะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ในการทำธุรกิจ
O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตัวอย่าง ของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เช่นกรณีของ เฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ ข้อ นี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือน ประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ต ัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ
O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น คน รวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการ กระจายไปในหุ้นหลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแ ล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้ ส่วน การใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ
O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน คน จนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน มาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงา น ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คน จนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด
เรียบง่าย ข้อ สังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที ่เพิ่งรวย ถ้า จะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่า งเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่ อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไ ป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่คว รจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง
|
||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลโดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360 องศา, poodangthailand |
บทต่อไป บทที่ 5 ทำไมคนถึงหันมาทำเครือข่าย