บทที่ 1 ตัวเอง? |
คุณเคยถามตัวเองดูหรือไม่ว่า จริงๆ ทำงานไปเพื่อหวังอะไร??? หรือทำตามคนอื่นบอกว่าดี… หลายๆ คน ต้องการความมั่นคงในชีวิต มีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่อยากเจอปัญหา เคยมีคนมาบอกแนวทางให้ว่า "ควรจะเรียนเก่งๆ เรียนจบสูงๆ เพราะถ้าเรียนเก่ง จบสูงแล้ว จบออกไปจะได้ทำงานดีๆ เงินเดือนสูง ได้เป็นเจ้าคนนายคน ชีวิตจะได้อยู่สบายไม่เดือดร้อน" ถูกต้องครับ คำพูดนี้ใช้ได้ดีในยุคอุตสาหกรรมตอนต้น เพราะช่วงนั้นมีโรงงานอุตสาหกรรมเปิดใหม่เยอะมาก ตลาดแรงงานเลยเป็นที่ต้องการ มันก็ไม่แปลกที่คนเรียนจบใหม่ๆ จะได้ทำงานทันทีและมีเงินเดือนใช้ | |||||
....... ก่อนหน้านั้นเป็นยุคเกษตรกรรมไม่มีใครรู้จักคำว่าเงินเดือน พอมีอุตสาหกรรมเข้าประเทศ มีระบบหัวหน้า ลูกน้อง เงินเดือน เงินโบนัส เงิน OT คอยล่อใจ ทำให้คนแห่ออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงานอยู่ในเมืองอุตสาหกรรมกันหมด คนที่มีเงินเดือนจะรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นคง ปลอดภัยสูง แต่สังคมทุกวันนี้เป็นอย่างไร คนที่เรียนเก่ง เรียนจบสูง ตอบโจทย์ชีวิตได้หรือยัง? บางคนจบปริญญาโทยังเดินเตะฝุ่นอยู่เลย ปริญญาตรีตกงานเกลื่อนเมือง บางคนบอกว่าต้องสอบเป็นข้าราชการให้ได้ ชีวิตถึงจะมั่นคง แต่ข้าราชการปัจจุบันเกษียณออกมากลับมีแต่หนี้ เพราะสามารถกู้ได้เยอะ สิทธิการกู้สูง (แต่ลืมคิดไปว่าเงินที่กู้มาได้ มันก็เหมือนเราเอาเงินในอนาคตของตัวเองออกมาใช้นั่นเอง) เป็นที่หมายตาของธุรกิจบัตรเครดิตทั้งหลายแหล่ ถ้าไม่มีวินัยในการใช้เงินก็ยังตอบโจทย์ชีวิตไม่ได้อยู่ดี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น "แสดงว่าการเรียนเก่ง เรียนจบสูง หรือรับราชการ ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีชีวิตสุขสบายอย่างที่บอกแล้วสิ…" |
|||||
...... ตั้งแต่การถือกำเนิดของเทคโนโลยีที่เรียกว่า www (world wide web) หรือที่เรียกติดปากกันว่า อินเตอร์เน็ต โลกก็เปลี่ยนแปลงไปสู่อีกยุคทันที เป็นโลกแห่งยุคข้อมูลข่าวสาร ไร้พรมแดน ช่วงแรกๆ หลายคนยังไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปซัก 20 ปีก่อนหน้านี้ สังเกตุหรือไม่ว่า คนยังนิยมเขียนจดหมายเพื่อติดต่อหากันอยู่ การค้าขายก็ต้องใช้ทำเลที่ตั้งถึงจะขายของได้ การสมัครงานก็ต้องกรอกข้อมูลลงบนกระดาษเท่านั้น ปัจจุบันการเขียนจดหมายแทบจะหายไปหมดแล้ว การจะขายของปัจจุบันไม่จำเป็นต้องมีทำเลก็สามารถขายของได้โดยการเช่า hosting ทางอินเตอร์เน็ตประกาศขายของ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเยอะ เร็วกว่าเยอะ แถมลูกเล่นเพียบ การสมัครงานปัจจุบันก็นิยมสมัครผ่านเว็บไซต์ เพราะง่ายกว่า สะดวก รวดเร็ว เพราะฉะนั้นโลกอุตสาหกรรมจะทะยอยล่มไปทีละนิดๆ แต่จะไม่หายไปหมด เหมือนกับตอนที่อยู่ในยุคอุตสาหกรรมรุ่งเรืองก็ยังเห็นว่าเกษตรกรรมไม่หายไปไหน เพียงแค่ไม่รุ่งเรืองหวือหวาพออยู่ได้เท่านั้นแล้วคำสอนที่ว่าต้องเรียนเก่ง เรียนสูง แล้วจะสบายจะสามารถเอามาใช้กับยุคข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้ได้หรือไม่ คนประเภทไหนที่จะเอาตัวรอดได้ในสังคมอนาคต ตอบได้เลยว่าถ้าการเรียนแบบท่องจำ ถึงจะจบด๊อคเตอร์ก็ไม่มีประโยชน์ สู้คนที่เรียนไม่จบแต่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับโลกไม่ได้ทำไมชีวิตไม่เป็นไปแบบที่เราต้องการ |
|||||
...... จริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่ แล้วเราตั้งโจทย์ชีวิตไว้ว่าอย่างไร เราไม่ต้องการความลำบาก อยากมีชีวิตสุขสบาย สิ่งที่จะทำให้เราเป็นแบบนั้นได้ง่ายขึ้นนั่นก็คือ ตัวเงิน จริงหรือไม่? แล้วที่มาของเงินก็คือการทำงาน เอาแรงกาย แรงใจ และเวลาวันล่ะอย่างต่ำ 8 ชั่วโมงเข้าแลก เราจึงเห็นคนทั่วไปทำงานๆๆๆๆ และก็ทำงาน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทำงานเพื่อ เงินไม่ได้ทำงานเพราะอยากทำจริงๆ หรอก ไม่เชื่อลองทำงานโดยไม่ขอรับเงินเดือนซัก 2-3 เดือนดู แล้วจะเห็นสัจธรรมว่าเราต้องการอะไรการทำงานเพียงเพื่อเลี้ยงตัวเองไปวันๆ หรือเดือนชนเดือนค่อนข้างอันตราย ตอนนี้อาจจะไม่มีผลอะไรเพราะร่างกายสังขารยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีอยู่ ถ้าเกิดวันข้างหน้ามีคนในครอบครัวเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเหตุที่ต้องใช้จ่ายหนักๆ (คิดว่าช่วงชีวิตหนึ่งของคนมันต้องเกิดขึ้น) จะทำอย่างไร ถ้าคนมีเงินเก็บก็จำเป็นต้องเอาออกมาใช้ แล้วใช้เวลานานเท่าไหร่จะเก็บได้อีก แล้วคนไม่มีเงินสำรองล่ะ จะแก้ปัญหาอย่างไร??? ทุกวันนี้ผมเลยต้องคิดใหม่ว่าตัวเองทำงานไปเพื่อเลี้ยงตัวเองแบบไหน พอมีพอกินหรือเหลือกินเหลือใช้ผมคิดดูแล้วถ้าจะเอาแบบพอมีพอกิน ผมไม่จำเป็นต้องมาทำงานรับเงินเดือนเลย แค่ปลูกผัก ทำนาก็พอมีพอกินแล้ว แต่มาทำงานได้เงินเดือนๆ ล่ะครั้ง แต่อีก 29 วันจ่ายออกทุกวัน มันก็หมดแล้ว ทำไปซักระยะก็พอจะรู้แล้วว่างานที่ทำอยู่ไม่ได้เลี้ยงเราจริง ตอบโจทย์ชีวิตเราไม่ได้รูปแบบงานในอนาคตอันใกล้จะเป็นรูปแบบของเครือข่าย ทุกวันนี้ก็มีให้เห็นเยอะแล้ว เช่น เฟรนไชน์ต่างๆ บิ๊กซี แมคโคร โลตัส เซเว่น อีเลฟเว่น ธุรกิจ MLM ล้วนแล้วแต่เป็นเครือข่ายที่ทรงพลังทั้งสิ้น เพียงแค่วันนี้ใครจะคิดได้ก่อนกันว่าควรจะทำงานเครือข่ายทำไม? เหมือนยุคอุตสาหกรรมเข้ามาใหม่ๆ ตอนนั้นอยู่ที่ว่าใครจะคิดได้ก่อนกันว่าควรจะเรียนเก่งๆ จบสูงๆ ไปทำงานโรงงานทำไม? | |||||
จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ชุดเงิน 4 ด้าน เขาบอกว่า งานในโลกใบนี้มีมากมายก็จริงแต่แบ่งออกเป็นแค่ 4 ประเภท คือ E S B I | |||||
E คือ Employee ลูกจ้างก็คือการที่เราขายความสามารถ หรือ ขายแรงงาน หรือขายเวลา เพื่อแลกกับเงินใช่ไหม? แล้วนายเคยเจอกับพนังงานประจำที่รวยไหม? |
|||||
S คือ Self Employed คือ การเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็ก และเป็นเจ้านายตัวเอง อย่างน้อยการเป็น S ก็ดีกว่าเป็น E เพราะยังมีโอกาสรวย แต่สุดท้ายทั้ง E และ S ก็ไม่มีเวลา |
|||||
ระหว่างงานและธุรกิจที่ชอบทำแล้วได้เงิน กับถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ทำอะไรเลยแล้วได้เงิน คุณเลือกแบบไหน? ก็ต้องไม่ทำอะไรเลยแล้วได้เงินใช่ไหมครับ มันจึงเป็นที่มาของคนหลายๆคน ที่หน้าที่การงานก็ดี การศึกษาก็ดี งานประจำต่างๆก็ดีหมด หลายๆคนจึงจะเปลี่ยนจากด้านซ้ายไปเป็นด้านขวา ซึ่งด้านซ้าย คือ Active Income หยุดทำแล้วรายได้หยุดตาม คือเราเป็นสาเหตุของรายได้ ทางด้านขวาครับ คือ Passive Income หยุดทำแล้วรายได้ไม่หยุดตาม คือ B I |
|||||
B คือ Business owner คือการเป็นเจ้าของบริษัทที่มีระบบ อย่างคุณเจริญ เจ้าของเบียร์ช้าง สมมติเขาไปเที่ยวรอบโลก แต่ตราบใดที่ยังมีคนเปิดเบียร์ช้างกิน เงินก็ไหลเข้าบริษัทเข้าไปตลอดไป ชั่วลูกชั่วหลาน |
|||||
I คือ Investor เป็นนักลงทุน อย่างเอาเงินสักหมื่นล้านบาท มาสร้างตึกชื่อ ออลซีซันเพลช วันนี้อาจใช้เวลาสร้างแค่1ปี แต่หลังจากนั้นเงินไหลมาเทมาจากค่าเช่าตลอดไปชั่วลูกชั่วหลาน |
|||||
" Take the first step in faith you don't have to see the whole staircase just take the first step" |
|||||